ในตลาดหลักๆ จะมีด้วยกัน 3 ประเภท ด้วยกัน
1. ฟิล์ม PET (Polyethylene Terephthalate)
คุณสมบัติ:
- วัสดุเป็นพลาสติกแข็งและบาง เน้นความเงางามหรือเพิ่มสีให้รถ
- ทนทานต่อรอยขีดข่วนระดับพื้นฐาน
- ราคาประหยัดที่สุดในทั้ง 3 เกรด
- ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเอง (Self-Healing) ได้
ข้อดี:
- ราคาเข้าถึงง่าย
- มีสีให้เลือกหลากหลาย
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนลุครถในงบจำกัด
ข้อเสีย:
- ความทนทานต่ำกว่าประเภทอื่น
- ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาว
2. ฟิล์ม PPU (Polyurethane Hybrid)
คุณสมบัติ:
- เป็นวัสดุแบบกึ่งยืดหยุ่นผสมระหว่าง TPU และวัสดุอื่น
- มีความยืดหยุ่นปานกลาง และป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีกว่า PET
- บางรุ่นอาจมีคุณสมบัติ Self-Healing แต่ไม่สมบูรณ์เท่า TPU
ข้อดี:
- ทนต่อรอยขีดข่วนได้ดีกว่า PET
- ราคาเหมาะสม ไม่แพงเท่า TPU
ข้อเสีย:
- ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองอาจต่ำ
- อายุการใช้งานสั้นกว่า TPU
3. ฟิล์ม TPU (Thermoplastic Polyurethane)
คุณสมบัติ:
- วัสดุเกรดพรีเมียม มีความยืดหยุ่นสูง
- มีคุณสมบัติ Self-Healing ซ่อมแซมรอยขีดข่วนเล็กๆ ได้เมื่อเจอความร้อน
- ทนต่อสารเคมี รังสี UV และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
ข้อดี:
- ทนทานต่อรอยขีดข่วนและคราบสิ่งสกปรก
- ยืดหยุ่นสูง ติดตั้งง่ายและเรียบเนียนไปกับพื้นผิวรถ
- อายุการใช้งานยาวนาน (5-10 ปี)
ข้อเสีย:
- ราคาสูงที่สุดในทั้ง 3 เกรด
สรุปการเลือกใช้งาน
- PET: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสีรถในงบประหยัดและไม่เน้นการป้องกันมาก
- PPU: ตัวเลือกกลางๆ สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มค่า
- TPU: เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นคุณภาพและการปกป้องรถยนต์ในระยะยาว
การเลือกเกรดฟิล์มขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการในการใช้งานลูกค้า
Leave A Comment